ความรู้สึกหลังได้เล่น Capcom Fighting Collection 2
ในที่สุดผมก็ได้เล่น Capcom Fighting Collection 2 สักที หลังจากรอมานาน! แม้ว่าตัวเกมจะวางจำหน่ายมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2025 (ผ่านมาเกือบห้าเดือน) แต่ด้วย "นโยบายส่วนตัว" ที่จะไม่ซื้อเกมราคาเต็มหากเปิดมาแพง ทำให้ผมต้องอดใจรอจนกว่าจะมีช่วงลดราคา และเมื่อถึงเวลา ผมก็ไม่ลังเลที่จะกดซื้อทันที
ทำไมถึงอยากเล่นขนาดนั้น?
คำตอบอยู่ที่ รายชื่อเกม ในชุดนี้ครับ:
- Capcom vs. SNK: Millennium Fight 2000 Pro
- Capcom vs. SNK 2: Millionaire Fight 2001
- Capcom Fighting Jam (ชื่อสากลคือ Capcom Fighting Evolution)
- Street Fighter ZERO 3 Upper (ชื่อสากลคือ Street Fighter Alpha 3 Upper)
- Power Stone
- Power Stone 2
- Moero! Justice Gakuen (ชื่อสากลคือ Project Justice)
- Star Gladiator 2: Nightmare of Bilstein (ชื่อสากลคือ Plasma Sword: Nightmare of Bilstein)
ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าเกมส่วนใหญ่ในลิสต์นี้ถูกสร้างบนบอร์ด Sega Naomi (ยกเว้น Star Gladiator 2 บน Sony ZN-2 และ Capcom Fighting Jam บน SYSTEM246) ซึ่งเกือบทุกเกมยกเว้น Capcom Fighting Jam เคยถูกพอร์ตลงเครื่อง Dreamcast! สำหรับผมแล้ว ชุดเกมนี้จึงไม่ต่างอะไรกับการได้ย้อนเวลากลับไปสู่ช่วงที่ผมนั่งเล่น Dreamcast อยู่หน้าจอมอนิเตอร์
เกมที่ยังคงสนุกไม่เสื่อมคลาย
ด้วยความที่เป็นเกมเก่า ผมคงไม่ลงลึกรายละเอียดเกี่ยวกับเกมนะครับ แต่จากความรู้สึกส่วนตัว เกมที่ยังคงสนุกและผ่านบทพิสูจน์ของกาลเวลาอย่างแท้จริง เล่นตอนนี้ก็ยังสนุก คือ ZERO 3 Upper และ Power Stone 2 ส่วนเกมอื่นๆ ก็ให้ความรู้สึกในแง่ของการรำลึกความหลังได้เป็นอย่างดี
ภาพและเสียง
ในส่วนของภาพและเสียงนั้น มีข้อสังเกตเล็กน้อย:
- เสียงเกมเบามาก: เบาจนน่าประหลาดใจ ใกล้เคียงกับเกมใน Capcom Arcade Stadium เลยยังไงยังงั้น ทำไมทำไม
- ฟิลเตอร์ภาพ: มีฟิลเตอร์ให้เลือกหลายแบบ ส่วนใหญ่เน้นการจำลองเส้นสแกนไลน์ของจอ CRT สมัยก่อน ฟิลเตอร์แบบไร้สแกนไลน์ก็มี แต่ส่วนตัวมองว่ายังไม่น่าประทับใจเท่าที่ควร
- การปรับ Internal Resolution: บางเกมที่เป็นกราฟิกโพลีกอนล้วน สามารถปรับเป็น 2X ทำให้ภาพคมชัดและสวยงามขึ้นมาก แต่สำหรับเกมที่มีการผสมผสานระหว่างสไปรต์ 2D กับฉาก 3D กลับทำให้ภาพดูเบลอ ทำให้การเลือกใช้ภาพแบบ Original ดูดีกว่า
ระบบช่วยกดท่า
ฟีเจอร์ที่น่าสนใจสำหรับผู้เล่นใหม่หรือผู้ที่ไม่ถนัดคอมมานด์ซับซ้อนคือ ระบบช่วยกดท่า ที่สามารถใช้ปุ่มร่วมกับทิศทางเพื่อออกท่าพิเศษได้ง่ายขึ้น มีความคล้ายกับโหมดโมเดิร์นใน Street Fighter 6 ช่วยให้การเข้าถึงเกมง่ายขึ้นเยอะ
ประสบการณ์ออนไลน์ที่ยังไม่สมบูรณ์
หากคุณตั้งใจจะซื้อมาเพื่อเล่นออนไลน์เป็นหลัก อาจจะต้องทำใจไว้บ้าง เพราะจำนวนผู้เล่นออนไลน์น้อยมาก ระบบจับคู่ยังต้องกดคอนเฟิร์มก่อนเริ่มแมตช์ ไม่ได้บังคับเริ่มอัตโนมัติแบบ SF6 บางครั้งก็เจอผู้เล่นคนเดิมซ้ำๆ และหากมีฝ่ายหนึ่งไม่อยากเล่นด้วย อาจเจอ “ท้าสู้ซ้ำๆ แต่ไม่เริ่ม” ทำให้เกิดความรำคาญได้
การเล่นจริงๆ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นใน ZERO 3 Upper ซึ่งเล่นสู้กันไม่ค่อยสนุกนัก ถ้าเล่นแบบ X-ism แม็ตช์จะจบไว (ถึงเราไม่เล่นคู่ต่อสู้ก็อาจจะเล่น) และเกมก็ออกแบบมาแปลกๆ เช่น เรากระโดดเตะ แต่โดนอีกฝ่ายสวนด้วยหมัดตรง!?
นอกจากนี้ การค้นหาแมตช์ยังไม่สามารถเลือกเฉพาะเกมที่ต้องการได้ ตัวอย่างเช่น ผมกำลังเล่น Power Stone 2 อยู่ดีๆ ก็มีคนท้าเล่น ZERO 3 Upper โผล่มา ทำให้การเล่นเกมโปรดต้องสะดุด
สรุป
สำหรับผม Capcom Fighting Collection 2 คุ้มค่าในแง่ของการสะสมและเล่นคนเดียวเพื่อรำลึกความหลัง โดยเฉพาะผู้ที่คิดถึงยุค Dreamcast จะฟินเป็นพิเศษ เกมอย่าง ZERO 3 UPPER และ Power Stone 2 ยังคงยอดเยี่ยม แต่ในด้านการเล่นออนไลน์นั้น ยังไม่น่าประทับใจนัก เนื่องจากจำนวนผู้เล่นน้อยและปัญหาในการจับคู่ที่กล่าวมา
Comments
Post a Comment