Street Fighter II ฉบับ Super Famicom: ความเจ็บปลายนิ้วที่ไม่มีวันลืม
ความทรงจำในวัยเด็กมักจะฝังแน่นอยู่ในใจ และเกมคือหนึ่งในสิ่งที่หลายคนจดจำได้อย่างชัดเจน แม้เวลาจะผ่านไปเป็นสิบปี เราก็ยังจำรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างตอนพลาดท่าในแมตช์สำคัญ หรือฝึกคอมมานด์ท่ายากซ้ำๆ จนนิ้วแทบพังได้อย่างแม่นยำ
หนึ่งในความทรงจำที่ลืมไม่ลงของเหล่าเกมเมอร์ยุค 90 คือ Street Fighter II เวอร์ชัน Super Famicom เกมไฟท์ติ้งระดับตำนานที่เปลี่ยนห้องนั่งเล่นของเด็กๆ ให้กลายเป็นสนามประลอง
จากตู้เกมสู่ห้องนั่งเล่น
Street Fighter II เปิดตัวครั้งแรกในอาร์เคดปี 1991 ก่อนจะถูกพอร์ตมาลง Super Famicom ในวันที่ 10 มิถุนายน 1992 กลายเป็นกระแสทันทีในหมู่เด็กนักเรียนที่ใฝ่ฝันอยากเก่งเหมือนผู้เล่นในร้านเกม
ระบบการต่อสู้แบบ 1 ต่อ 1 ที่แม่นยำ ตัวละครให้เลือก 8 ตัว และคอมมานด์ลับอย่าง “↓ R ↑ L Y B X A” ที่เปิดให้เล่นตัวละครซ้ำกันได้ ล้วนเป็นจุดขายของเวอร์ชันนี้
ในยุคนั้น ข่าวลือเรื่อง “Ryu จากร้านไหนเก่งมาก” มักแพร่กระจายปากต่อปาก บางคนถึงกับเดินทางข้ามจังหวัดเพื่อไปลองฝีมือด้วย วัฒนธรรม “วางเหรียญจองคิว” และการนั่งเล่นข้างๆ คนแปลกหน้าเป็นเรื่องปกติของยุคสมัยที่ยังไม่มีโซเชียลมีเดีย
นิ้วพังแต่ใจไม่ถอย
เมื่อเกมออกวางขาย เด็กๆ ที่เคยเทเหรียญในอาร์เคดก็หันมาทุ่มเงินค่าข้าวซื้อเกมมาเล่นที่บ้าน แม้จะเล่นได้ไม่อั้น แต่ก็มีข้อเสียที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือ “เจ็บนิ้ว”
คอนโทรลเลอร์ของ SFC ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับหมุนคอมมานด์เร็วๆ ซ้ำๆ จึงไม่แปลกที่หลายคนจะเจ็บนิ้วหัวแม่มือ โดยเฉพาะตอนพยายามกดท่าฮาโดเคนของ Ryu หรือหมุนท่าของ Zangief จนนิ้วถลอก
ความเจ็บนั้นกลับกลายเป็นเหมือน “เหรียญตรา” สำหรับผู้เล่นยุคนั้น เจ็บแค่ไหนก็ฝึกต่อ เพราะอยากชนะ อยากเก่ง และอยากเอาชนะเพื่อนในโรงเรียน
หวนคืนสู่สังเวียน…ไร้บาดแผล
ปัจจุบันเกมนี้กลับมาให้เล่นอีกครั้งใน Street Fighter 30th Anniversary Collection ที่รวมภาคหลักถึง Street Fighter III: 3rd Strike เล่นได้ทั้งในออนไลน์และออฟไลน์ และด้วยคอนโทรลเลอร์ยุคใหม่ที่ออกแบบมาอย่างสบายมือ การกดคอมมานด์ก็ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องแลกมาด้วยแผล
แต่แม้จะไม่มีแผล เราก็ยังจดจำ “ความเจ็บ” ในวันวานได้เสมอ ไม่ใช่เพราะมันทรมาน แต่เพราะมันเป็นหลักฐานว่า เราเคยรักเกมนี้มากแค่ไหน

Comments
Post a Comment