Yoshiki Okamoto เผย Capcom แทบไม่มีกำไรจากยุค Famicom
แม้ว่า Capcom จะกลายเป็นค่ายเกมชื่อดังจากการทำเกมลง Famicom อย่าง Rockman แต่ Yoshiki Okamoto อดีตโปรดิวเซอร์ผู้เคยดูแล Street Fighter II กลับเผยว่า ยุคนั้นบริษัทแทบไม่มีกำไรเลยจริงๆ
เขาเล่าในช่อง YouTube ของตัวเองว่า ในระบบของ Famicom บริษัทเกมต้องจ่ายเงินล่วงหน้าให้นินเทนโดเพื่อสั่งผลิตตลับเกม โดยที่ไม่รู้ว่าจะขายได้เท่าไร แถมต้องรอของนานถึงสามเดือน และเมื่อขายไปแล้วก็ยังต้องรอเงินอีก 90 วัน รวมเวลารอกลับมาเป็นเงินสดนานถึงครึ่งปี และยังต้องเสียดอกเบี้ยธนาคารอีกต่างหาก
“มีแต่นินเทนโดเท่านั้นที่ได้กำไรแบบแน่นอน” — Okamoto กล่าว
เขายกตัวอย่างว่าตลับเกมที่ขายในราคา 10,000 เยน ร้านค้าได้ 3,000 เยน บริษัทเกมได้ 4,000 เยน และอีก 3,000 เยนตกเป็นของนินเทนโด ซึ่งในจำนวนนี้มีต้นทุนการผลิตราว 1,500 เยน นินเทนโดรับเงินเต็มจำนวนตั้งแต่ต้น ไม่ว่าเกมจะขายดีหรือไม่ก็ได้กำไรแน่นอน
ในทางกลับกัน ถ้าเกมขายไม่หมด บริษัทเกมก็ต้องแบกภาระสต็อกเองเต็มๆ เพราะนินเทนโดไม่รับคืน และการผลิตตลับใหม่ก็ใช้เวลานาน ทำให้เติมของไม่ทันหากเกมเกิดฮิตแบบไม่ทันตั้งตัว
Okamoto บอกว่าสิ่งที่เปลี่ยนทุกอย่างคือการมาของ PlayStation
“Capcom เริ่มได้กำไรจริงๆ ตอนเปลี่ยนมาใช้แผ่นดิสก์”
เขาอธิบายว่าต้นทุนการผลิตแผ่นถูกกว่า Capcom จ่ายให้ Sony แค่ 1,800 เยนต่อแผ่น และถ้าแผ่นเหลือขายไม่หมด Sony จะคืนเงินส่วนแบ่ง 1,600 เยน หักแค่ค่าผลิต 200 เยน ซึ่งแตกต่างจากระบบของนินเทนโดโดยสิ้นเชิง
แถม Sony ยังสามารถผลิตแผ่นล็อตใหม่ได้ภายใน 1 สัปดาห์ ทำให้บริษัทเกมเติมของได้ทันกระแส ไม่เสียโอกาสทอง
แม้ Okamoto จะบอกว่ายุค Famicom และ Super Famicom มีส่วนช่วยสร้างฐานผู้เล่นให้ Capcom แต่ถ้าพูดถึงในแง่รายได้แล้ว เขาย้ำว่า "ยุคนั้นมีแต่นินเทนโดที่รวยจริงๆ"
Comments
Post a Comment