PlayStation: จุดเปลี่ยนวงการเกม
ในต้นยุค 90 โลกของวิดีโอเกมมีเพียงสองชื่อที่ครองความสนใจ: Sega และ Nintendo ไม่มีใครคาดคิดว่าบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่าง Sony ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในวงการเกมเลย จะกลายเป็นผู้เปลี่ยนเกมตลอดกาล จนชื่อ PlayStation กลายเป็นคำที่แทบจะใช้เรียกเครื่องคอนโซลโดยปริยาย และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น มันเปลี่ยนวิธีที่เรามองเกมไปอย่างสิ้นเชิง
PlayStation ไม่ใช่แค่เครื่องเล่นเกม แต่มันคือการปฏิวัติครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์วิดีโอเกม นี่คือเรื่องราวจากสองอดีตผู้บริหาร Sony: Andrew House ผู้บุกเบิกการตลาด และ Shawn Layden ผู้ผลักดันเบื้องหลังความคิดสร้างสรรค์ของนักพัฒนา
จุดกำเนิดของ PlayStation ย้อนไปถึงช่วงปลายยุค 80 เมื่อ Sony ได้ผลิตชิปเสียงให้กับ Super Famicom ของ Nintendo และมีแผนสร้างไดรฟ์ CD-ROM ร่วมกัน แต่โครงการต้องล่มกลางคัน ทำให้หลายคนใน Sony มองว่าการจับมือกับ Nintendo คือบทเรียนราคาแพง
แต่ Ken Kutaragi วิศวกรผู้อยู่เบื้องหลังโปรเจกต์ กลับคิดต่าง Shawn Layden เล่าว่า “Kutaragi-san หรือที่เราเรียกว่า ‘บิดาแห่ง PlayStation’ เชื่อมั่นว่า ถ้า Sony ไม่สามารถเป็นผู้สนับสนุน Nintendo ได้ ก็ต้องสร้างเครื่องเกมของตัวเองให้ได้”
เขาฝันถึงคอนโซลที่นำประสบการณ์ 3D จากอาร์เคดมาสู่บ้าน พร้อมใช้ CD-ROM ที่มีต้นทุนต่ำกว่าตลับเกมอย่างมาก — นั่นคือกุญแจดึงดูดนักพัฒนาจากทั่วโลก
แม้จะถูกตั้งคำถามจากผู้บริหารระดับสูง แต่ Kutaragi ได้รับการสนับสนุนจาก Norio Ohga ซีอีโอของ Sony ที่ต้องการขยายธุรกิจสู่ความบันเทิง Andrew House เล่าว่า “เจ้านายของผมบอกว่า ‘คุณมันงี่เง่า มันแค่ของเล่นและจะต้องล้มเหลวแน่’” ขณะที่ฝ่ายการเงินถึงกับเตือน Layden ว่า “เช่าทุกอย่างไว้ก่อน เพราะเก้าเดือนข้างหน้า คุณอาจไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้แล้วก็ได้”
แต่ภายในทีม PlayStation กลับเต็มไปด้วยพลังและความมุ่งมั่น House บอกว่า “พวกเราอายุน้อย ไม่มีความกลัว และอาจจะเย่อหยิ่งเล็กน้อย เราคิดว่า เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่”
Sony ไม่มีประสบการณ์ในการสร้างเกม และไม่มีนักพัฒนาในบ้านที่เทียบได้กับ Shigeru Miyamoto ของ Nintendo หรือ Yuji Naka ของ Sega
Layden บอกว่า “เราไม่มีการพัฒนาเกมภายในตอนนั้นเลย เพราะคุณสร้างสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ในหกเดือน” Sony จึงหันไปจับมือกับนักพัฒนาภายนอกอย่าง Namco นำเกมอาร์เคดยอดนิยมอย่าง Tekken และ Ridge Racer มาสู่บ้าน และสร้างความฮือฮาทันที
ในปี 1993 Sony ยังซื้อสตูดิโอ Psygnosis ในยุโรป ที่ภายหลังพัฒนา Wipeout และวางรากฐานให้กับสิ่งที่ต่อมากลายเป็น PlayStation Studios — บ้านของเกมอย่าง God of War และ The Last of Us
Sony ไม่ต้องการให้ PlayStation เป็นแค่เครื่องเกม แต่ต้องการสร้างแบรนด์ที่สะท้อน “ไลฟ์สไตล์” ทีม Sony Music มีบทบาทสำคัญในการกำหนดภาพลักษณ์ให้ดูโตขึ้น เข้มขึ้น และแตกต่างจาก Nintendo อย่างสิ้นเชิง
“เกมของ PlayStation มีความมืดบางอย่างที่เริ่มแทรกเข้ามา” House อธิบาย “ไม่เหมือนเกมใสๆ ของ Nintendo” แคมเปญโฆษณาก็แหวกแนว “มันดูมีจังหวะ เหมือนวัฒนธรรมดนตรี” Layden เสริม
ในญี่ปุ่น วันที่ 3 ธันวาคม 1994 คนหนุ่มสาวตะโกน “Ichi! Ni! San!” (หนึ่ง สอง สาม!) ซึ่งตรงกับวันเปิดตัว 12/03 นั่นคือแคมเปญที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน และกลายเป็นภาพจำของแบรนด์ไปตลอดกาล
เมื่อถึงเวลาเปิดตัวในอเมริกา Sony วางหมากเด็ดที่งาน E3 ปี 1995
Sega เปิดก่อน ประกาศว่า Saturn วางขายทันทีที่ราคา 399 ดอลลาร์ แต่ฝั่ง Sony ให้ Steve Race ขึ้นเวที และพูดเพียงคำเดียวว่า “$299” แล้วเดินลงจากเวทีทันที
Layden เล่าว่า “เราฝืนกฎหมดทุกข้อ นั่นทำให้คนมองว่า PlayStation คือแพลตฟอร์มของผู้ท้าทาย”
แม้มันคือความเสี่ยง เพราะขายถูกหมายถึงขาดทุนมากขึ้น แต่ผลลัพธ์คือความสำเร็จ PlayStation กลายเป็นเครื่องเกมที่ขายดีที่สุดในยุคนั้นภายในเวลาไม่กี่ปี
Sony เปิดพื้นที่ให้นักพัฒนาลองสิ่งใหม่ๆ และนั่นทำให้เกมแปลกๆ อย่าง PaRappa the Rapper หรือ Vib-Ribbon เกิดขึ้น เช่นเดียวกับแคมเปญสุดแนวที่มีคนแต่งชุด Crash Bandicoot ไปตะโกนหน้าออฟฟิศ Nintendo
เกมที่สร้างกระแสอย่าง Resident Evil และ Tomb Raider ก็แสดงให้เห็นว่าเกมสามารถเป็น “ภาพยนตร์แบบโต้ตอบ” ได้ House พูดถึง Tomb Raider ว่า “มันคือนิยามใหม่ของสิ่งที่เกมสามารถเป็นได้”
จุดเปลี่ยนสำคัญของ Sony คือการชิง Square จาก Nintendo ให้มาพัฒนา Final Fantasy VII บน PlayStation เกมนี้ขายได้มากกว่า 10 ล้านชุด และกลายเป็นสัญลักษณ์ของยุค 3D RPG
ในขณะเดียวกัน เกมที่ขายดีที่สุดของ PlayStation กลับเป็น Gran Turismo ที่มียอดขายเกือบ 11 ล้านชุด ซึ่งแสดงถึงความหลากหลายของเกมบนเครื่องนี้อย่างแท้จริง
ปี 1999 Sony ครองตลาดคอนโซลในสหรัฐฯ กว่า 60% และเตรียมก้าวต่อไปสู่ PlayStation 2
แนวคิดคือทำให้ PS2 ไม่ใช่แค่เกมคอนโซล แต่เป็น “สถานที่ที่สาม” ของผู้คน ถัดจากบ้านและที่ทำงาน ด้วยการเพิ่ม DVD Drive ที่ทั้งดูหนังได้และมีพื้นที่มากพอให้พัฒนาเกมขนาดใหญ่
“มันคือจานสีใหม่ที่ใหญ่ขึ้น ให้นักพัฒนาได้วาดภาพใหญ่ขึ้น เล่าเรื่องลึกขึ้น” Layden กล่าว
เกมอย่าง The Getaway คือตัวอย่างของการเล่าเรื่องแบบภาพยนตร์ที่เกิดขึ้นได้ด้วยพลังของ DVD
แม้วันนี้ PlayStation จะมุ่งเน้นเกมบล็อกบัสเตอร์แนวภาพยนตร์มากกว่าเกมทดลองแบบสมัย PS1 แต่รากฐานยังคงอยู่ — การเปิดรับพันธมิตรภายนอก การให้อิสระนักพัฒนา และการสร้างเกมที่หลากหลาย
PlayStation เปลี่ยนเกมตลอดกาล และไม่ว่าคุณจะเล่นเกมอะไรก็ตาม คุณก็กำลังอยู่ในโลกที่มันสร้างขึ้นมาแล้ว
Comments
Post a Comment