ตำนาน Mega Drive ตอนที่ 3: ปีที่โลกต้องหลงรัก Sonic the Hedgehog
ปี 1991 คือจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ของ Sega ปีที่บริษัทจากญี่ปุ่นรายนี้ก้าวจากเงาของคู่แข่งและสร้างตัวตนใหม่ในสายตาผู้เล่นทั่วโลก จุดเปลี่ยนทั้งหมดเริ่มต้นจากเม่นสีฟ้าตัวหนึ่งที่ชื่อว่า Sonic the Hedgehog ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตัวละครในเกม แต่คือสัญลักษณ์ของยุคสมัยใหม่ที่ Sega กำลังจะเปิดฉากขึ้น
ปี 1991 จุดเปลี่ยนของ Mega Drive ในตลาดที่กำลังร้อนแรง
หลังเปิดตัวในปลายปี 1988 Mega Drive ใช้เวลาสองปีกว่าจะทำยอดขายในญี่ปุ่นได้ราว 1.5 ล้านเครื่อง แต่เมื่อ Super Famicom เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 1990 เครื่องใหม่ของ Nintendo ใช้เวลาเพียงสี่เดือนก็ทำยอดขายได้เท่ากัน ความสำเร็จนี้สะท้อนชัดว่าตลาดเกมคอนโซลกำลังจะเปลี่ยนมืออีกครั้ง
ในญี่ปุ่นช่วงนั้นมีสามเสาหลักคือ Famicom, Game Boy และ Super Famicom ส่วน PC Engine ของ NEC แม้ชุด CD-ROM จะมีราคาสูงเกือบหนึ่งแสนเยน แต่ก็ยังสร้างฐานผู้เล่นได้ราวห้าแสนชุด ขณะที่ Mega Drive ของ Sega ยังคงอยู่อันดับสามและมีแนวโน้มจะถูกทิ้งห่างมากขึ้นเรื่อยๆ
การมาถึงของ Shining & the Darkness
เดือนมีนาคม 1991 Sega ปล่อยเกม RPG ที่สร้างความประหลาดใจให้วงการในยุคนั้นอย่าง Shining & the Darkness ผลงานของทีมที่นำโดย Hiroyuki Takahashi และ Hiroshi Naitou ซึ่งเคยมีส่วนร่วมใน Dragon Quest IV เกมนี้ใช้มุมมองบุคคลที่หนึ่งและมีสไตล์การเล่าที่แตกต่างจาก RPG ทั่วไป ผลตอบรับดีเกินคาดถึงขั้นมีคนต่อคิวซื้อ Mega Drive เป็นครั้งแรก และยังกลายเป็นจุดเริ่มต้นของซีรีส์ Shining ที่ต่อยอดไปสู่ Shining Force ในเวลาต่อมา
การสร้างฐานกำลังใหม่ของ Sega
ปีเดียวกัน Sega เดินหน้าขยายกำลังพัฒนาเกมของตนเอง โดยจัดตั้งสตูดิโอลูกหลายแห่ง เช่น SIMS (ทีมจาก Sunrithsu), SONIC Software Planning (ทีมแยกจาก Climax) และ Sega Falcom (ความร่วมมือกับ Nihon Falcom) นอกจากนี้ยังเปิดตัว Teradrive คอมพิวเตอร์ลูกผสมที่พัฒนาร่วมกับ IBM แม้จะใช้สเปกเก่ากว่าคู่แข่งและขายได้เพียงไม่กี่เครื่อง แต่ก็ถือเป็นความพยายามของ Sega ที่ต้องการเชื่อมโลกคอมพิวเตอร์กับเครื่องเกมเข้าด้วยกัน
Sonic the Hedgehog ฮีโร่ที่เปลี่ยนโลก
ในตลาดอเมริกาเหนือ Nintendo ยังคงครองความนิยมด้วย NES ที่มียอดขายทะลุ 30 ล้านเครื่อง ขณะที่ Sega ต้องหาทางพลิกสถานการณ์ให้กับ Genesis (ชื่อของ Mega Drive ในอเมริกา) ซึ่งแม้จะเปิดตัวก่อน SNES ถึงสองปี แต่ยอดขายก็ยังตามหลังอยู่มาก
คำตอบของ Sega คือการสร้างตัวละครใหม่ที่สามารถเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ได้ นั่นคือ Sonic the Hedgehog
เกมนี้เกิดจากทีมเล็กๆ ที่มี Yuji Naka โปรแกรมเมอร์มากฝีมือจาก Daimakaimura, Naoto Ohshima ผู้ออกแบบตัวละคร และ Hirokazu Yasuhara ผู้ออกแบบฉาก เป้าหมายของพวกเขาคือการสร้างเกมที่ “โค่น Mario ให้ได้” Sonic มาพร้อมความเร็วที่ไม่เคยมีมาก่อนในเกมแพลตฟอร์ม เอฟเฟกต์การเคลื่อนไหวที่ลื่นไหล และดนตรีจาก Masato Nakamura สมาชิกวง DREAMS COME TRUE ที่ให้กลิ่นอายป็อปสมัยใหม่
Sega โปรโมตเกมอย่างเต็มกำลัง Sonic ถูกนำไปติดบนตู้ NEW UFO Catcher ในเกมเซ็นเตอร์ และปรากฏตัวแบบ cameo ใน Rad Mobile (System 32) แต่ความสำเร็จที่แท้จริงเกิดขึ้นที่อเมริกาเหนือ
Genesis does what Nintendon’t
Sega of America ใช้แนวคิด “ความเร็ว” ของ Sonic เป็นหัวใจในการทำตลาด พร้อมเปิดแคมเปญโฆษณาที่ท้าทาย Nintendo โดยตรง ภาพลักษณ์ของ Sega กลายเป็นแบรนด์ที่ “เท่ ทันสมัย และกล้าท้าชน” ซึ่งตรงใจกลุ่มผู้เล่นวัยรุ่นในยุคนั้นอย่างยิ่ง
ภายในสิ้นปี 1991 Genesis มียอดขายทะลุสามล้านเครื่อง แซงหน้า SNES ได้ในช่วงสั้นๆ และ Sonic ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของยุค 16-bit อย่างสมบูรณ์แบบ เกมทำยอดขายมากกว่า 2 ล้านชุดทั่วโลกภายในปีเดียว กลายเป็นเกมขายดีที่สุดของปีนั้น
ศึก CD-ROM Mega CD ปะทะ PC Engine Duo
กลางปีเดียวกัน ความท้าทายใหม่เริ่มต้นขึ้นในวงการเกมญี่ปุ่น เมื่อ NEC เปิดตัว PC Engine Duo ที่รวมเครื่องหลักกับ CD-ROM เข้าด้วยกัน ขณะที่ Sega เปิดตัว Mega CD ซึ่งเพิ่มพลังให้ Mega Drive ด้วยซีพียูใหม่ ความสามารถในการหมุนและขยายภาพ และระบบเสียง PCM แปดช่อง
แม้ราคาวางจำหน่ายจะสูงถึง 49,800 เยน (รวมเครื่องแล้วเกิน 70,000 เยน) และมีเพียงหกเกมในวันเปิดตัว แต่ Mega CD ก็เป็นอีกก้าวหนึ่งที่ชี้ให้เห็นทิศทางอนาคตของ Sega ในยุคมัลติมีเดียที่กำลังจะมาถึง
ปีแห่งการต่อสู้และการเติบโต
แม้ Super Famicom จะครองตลาดด้วยเกมใหญ่อย่าง Final Fantasy IV, SimCity และ The Legend of Zelda: A Link to the Past แต่ฝั่ง Mega Drive ก็ยังมีเกมเด่นหลายเรื่อง เช่น Bare Knuckle: Ikari no Tekken, Advanced Daisenryaku: Doitsu Dengeki Sakusen และ Rent A Hero เกม RPG ที่เต็มไปด้วยแนวคิดแปลกใหม่ จนยอดขาย Mega Drive ในญี่ปุ่นทะลุสองล้านเครื่องในที่สุด
Sonic จุดประกายให้ Sega ก้าวสู่ยุคใหม่
Sonic the Hedgehog ไม่ได้เป็นเพียงเกมที่ประสบความสำเร็จทางการค้า แต่เป็นสัญลักษณ์แห่งการเกิดใหม่ของ Sega จากบริษัทที่เคยเป็นผู้ตาม กลายเป็นผู้ท้าชิงตัวจริงในตลาดโลก ความสำเร็จของ Sonic ปูทางสู่ยุคใหม่ที่นำไปสู่การถือกำเนิดของ Sega Saturn และ Dreamcast ในเวลาต่อมา
ปี 1991 จึงไม่ใช่แค่ปีของ Sonic
แต่มันคือปีที่ Sega ประกาศให้โลกได้รู้ว่า พวกเขากลับมาแล้ว
Comments
Post a Comment