วันนี้เป็นวันครบรอบวันที่ Tales of Destiny วางจำหน่าย
โอเพนนิงและเพลง Yume de Aru You ni ที่ยังอยู่ในความทรงจำ
หากย้อนเวลากลับไปเมื่อ 28 ปีก่อน วันที่ 23 ธันวาคม 1997
นี่คือวันที่ Tales of Destiny วางจำหน่าย
และกลายเป็นหนึ่งในผลงานสำคัญของซีรีส์ Tales of
ที่ยังคงถูกพูดถึงมาจนถึงปัจจุบัน
สำหรับแฟนเกม RPG ยุค PlayStation เกมนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญ
และสำหรับหลายคน มันคือจุดเริ่มต้นของความผูกพันกับซีรีส์นี้อย่างแท้จริง
Tales of Destiny เป็นภาคที่สองถัดจาก Tales of Phantasia
และประสบความสำเร็จอย่างสูง จนมีภาคต่ออย่าง Tales of Destiny 2
รวมถึงเวอร์ชันรีเมกที่วางจำหน่ายในปี 2006
ซึ่งมีการปรับเนื้อหาโดยคำนึงถึงการตั้งค่าของภาค 2
ต่อมาในปี 2008 ยังมี Director’s Cut
ที่เพิ่มเส้นเรื่อง Leon Side
เปิดโอกาสให้ Leon Magnus
ขึ้นมาเป็นตัวเอกอย่างเต็มตัว
สิ่งที่ทำให้เกมนี้ตราตรึงใจตั้งแต่แรกเห็น คือโอเพนนิงแอนิเมชันฝีมือ Production I.G ที่งดงามมาก เพลงธีม Yume de Aru You ni ถ่ายทอดอารมณ์เศร้า ละเมียด และเปี่ยมความหวังได้อย่างลงตัว จนถึงวันนี้ เพียงแค่ทำนองแรกดังขึ้น ก็ยังทำให้ภาพและความรู้สึกในวันนั้นย้อนกลับมาอย่างชัดเจน
เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อ Stan Aileron
ได้พบกับดาบที่มีจิตใจของตนเองอย่าง Dymlos
ซึ่งเป็นหนึ่งใน Swordian
และถูกดึงเข้าไปพัวพันกับสงครามที่เกี่ยวข้องกับ “ดวงตาแห่งเทพ”
ระหว่างการเดินทาง เขาได้พบพรรคพวกอย่าง
Rutee Katrea,
Leon Magnus,
Philia Felice
และ Woodrow Kelvine
ก่อนที่การผจญภัยครั้งใหญ่จะเริ่มต้นขึ้น
หนึ่งในพาร์ตที่กระแทกใจที่สุดของเรื่อง
คงหนีไม่พ้นเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ Leon
แม้จะไม่สามารถลงรายละเอียดได้เนื่องจากเป็นสปอยล์
แต่เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า
เกมก็สามารถถ่ายทอดความรู้สึกไม่ยุติธรรม
หดหู่ และเจ็บปวดได้อย่างรุนแรง
ไม่ต่างจากภาพยนตร์หรือนวนิยาย
เพียงแต่ความรู้สึกเหล่านั้นถูกส่งผ่าน
“ประสบการณ์การเล่น” โดยตรง
ทำให้ผลกระทบทางอารมณ์ยิ่งฝังลึกในความทรงจำ
ตัวละครแต่ละคนในเกมล้วนมีเอกลักษณ์ชัดเจน
Rutee Katrea นางเอกของเรื่อง
เป็นตัวละครที่รักเงินอย่างเปิดเผย
ซึ่งอาจทำให้แปลกใจในตอนแรก
แต่เมื่อได้รู้เหตุผลเบื้องหลัง
ก็ยิ่งทำให้ตัวละครนี้มีมิติและน่าจดจำมากขึ้น
ขณะที่ Philia Felice
แอบมีความรู้สึกพิเศษต่อ Stan
ก่อให้เกิดความสัมพันธ์สามเส้าแบบบางๆ
ระหว่าง Stan, Rutee และ Philia
ที่ช่วยเพิ่มสีสันให้เรื่องราว
นอกจากนี้ยังมีตัวละครสมทบที่โดดเด่นอีกมาก
ไม่ว่าจะเป็น Mary Argent,
Chelsea Tone,
Johnny Shiden
และ Mighty Kongman
โดยเฉพาะ Kongman
ที่เป็นตัวละครลับซึ่งเลือกเข้าร่วมได้ตามเงื่อนไข
แต่กลับได้รับบทบาทสำคัญในนิยาย
Tales of Destiny: Rutee no Rule
จนกลายเป็นคู่หูหลักของ Rutee
อย่างน่าสนใจ และเข้ากันได้ดีเกินความคาดหมาย
ในแง่ของเกมเพลย์ Tales of Destiny
โดดเด่นอย่างมากในเรื่อง ปริมาณเสียงพากย์
แม้เพียงยืนค้างไว้ในฟิลด์
ตัวละครก็จะเริ่มบทสนทนากันเอง
อีกทั้งการสลับใช้ Swordian
ยังทำให้ได้ยินเสียงเรียกท่าต่างๆ
เช่น Fireball
หรือ Ice Needle
ในแบบเฉพาะของแต่ละตัวละคร
เพิ่มอรรถรสในการเล่นได้อย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการใช้นักพากย์ระดับตำนานอย่าง Koichi Yamadera ในบท Johnny Shiden และ Tessho Genda ในบท Mighty Kongman ซึ่งช่วยยกระดับงานพากย์ให้ดูจัดเต็ม และพรีเมียมเกินกว่ามาตรฐานของยุคนั้นไปมาก
ระบบต่อสู้ของเกมใช้
Enhanced Linear Motion Battle System (E-LMBS)
ที่พัฒนาต่อยอดจากภาคก่อน
ให้ความรู้สึกคล้ายเกมต่อสู้
สามารถต่อคอมโบได้ง่าย
แอ็กชันลื่นไหล
พร้อมเอฟเฟกต์และมุมกล้องที่เร้าใจ
นอกจากนี้ยังรองรับการเล่นหลายคน
ผ่านไอเท็มพิเศษ
ทำให้หลายคนมีความทรงจำร่วมกับเพื่อน
หรือคนในครอบครัวจากเกมนี้
ปัจจุบัน เพลงจากซีรีส์ Tales of
รวมถึง Tales of Destiny
ได้ถูกนำขึ้นให้ฟังผ่านบริการสตรีมมิงแล้ว
ในวันครบรอบเช่นนี้
การเปิดเพลงขึ้นมาฟังอีกครั้ง
อาจช่วยพาให้ความทรงจำย้อนกลับไป
สู่การผจญภัยของ Stan และผองเพื่อน
และทำให้ตระหนักว่า
เรื่องราวในวันนั้น
ยังคงไม่เลือนหายไปตามกาลเวลา
Comments
Post a Comment